แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Health แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Health แสดงบทความทั้งหมด

7 วิธีการนอนแบบพระอรหันต์ ที่คุณก็นำไปปฏิบัติตามได้

พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เกี่ยวกับ การนอน ว่า พระอรหันต์นอนเพียงวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น        เหตุที่พระอรหันต์นอนน้อยกว่าคนทั่วไป ก็เพราะท่านเป็นผู้ที่ละแล้วซึ่งกิเลส และมีสติอยู่เสมอทุกขณะตื่น จึงสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ตามความเป็นจริง โดยไม่เผลอนำสิ่งกระทบต่าง ๆ มาปรุงแต่งให้เกิดเป็นอารมณ์ จึงไม่ต้องการเวลานอนมากนัก
         ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ยังรับรองด้วยว่า การทำจิตให้สงบเป็นสมาธิ นับเป็นการจัดระเบียบคลื่นสมองที่มีประสิทธิภาพที่สุด และถือเป็นการผ่อนคลายเชิงลึก ที่สามารถชดเชยการหลับลึกได้ถึง 4 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้ สมองอันปราศจากข้อมูลขยะของพระอรหันต์ จึงไม่ต้องการช่วงเวลาหลับลึก เพื่อฟื้นฟูสภาพสมอง และจัดระเบียบเซลล์ประสาทมากเท่าคนทั่วไป
         ความพิเศษของการนอนอย่างพระอรหันต์ไม่ได้จบอยู่เพียงแค่เรื่องของเวลาเพียงเท่านั้น เพราะวิธีการนอนของท่านก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย
          พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงการบรรทมของพระองค์ไว้ว่า พระองค์บรรทมด้วยการสำเร็จ สีหไสยา ซึ่งแปลว่า การนอนอย่างราชสีห์ คือ การนอนตะแคงขวาอย่างมีสติสัมปชัญญะ ประกอบด้วยจิตอันบริสุทธิ์ สงัดแล้วจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลายเป็นอุเบกขา ไม่ทุกข์ และไม่สุข อยู่ในสมาธิขั้นสูง (ฌาน4) ไม่มีความยินดีในการนอนหลับ และพร้อมจะลุกขึ้นอยู่เสมอ
อานิสงส์ของการหลับอย่างมีสติ
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอานิสงส์ของการหลับอย่างมีสติไว้ 5 ประการ ได้แก่
ทำให้หลับเป็นสุข
ทำให้ตื่นเป็นสุข
ทำให้ไม่ฝันร้าย
ทำให้เทวดารักษา
ทำให้มีสติไม่หลงใหลในกามซึ่งเกิดจากความฝัน
7 ขั้นตอนสู่การนอนอย่างพระอรหันต์
1.ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงทันทีที่ตื่น อย่ามัวโอ้เอ้งัวเงีย พ่ายแพ้ให้ความขี้เกียจ เพราะการตื่นขึ้นเองโดยไม่มีใครปลุก เป็นการส่งสัญญาณให้คุณรู้ว่า สมองได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว การนอนนานกว่านั้นจึงถือเป็นความขี้เกียจ
2.หมั่นเจริญสติ และฝึกสมาธิระหว่างวัน เพื่อจัดระเบียบสมองและลดการปรุงแต่งอารมณ์
3.หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวก่อนนอน เช่น การดูหนังแอ๊คชั่น การออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน การคิดเรื่องงาน ฯลฯ เพื่อให้ร่างกายพร้อมเข้าสู่การนอนอย่างสงบและมีสติ
4.นอนอย่างปล่อยวาง ทำจิตให้ว่างก่อนเข้านอน ด้วยการสะสางงาน และวางแผนสิ่งที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้นให้เรียบร้อย อาจวางกระดาษและดินสอไว้ข้างเตียง เพื่อจดสิ่งที่นึกขึ้นได้ จะได้ไม่ต้องคิดวนไปเวียนมาเพราะความกังวล
5.จัดระเบียบการนอน มีกำหนดเวลานอน และตื่นที่ชัดเจนเพื่อสร้างวินัยให้ร่างกาย
6.นอนในที่เย็น เงียบ และมืด ปราศจากแสงเสียง และสิ่งรบกวนที่จะทำลายสมาธิในการนอน
7.หลับไปด้วยจิตอันนิ่งสงบและเป็นกุศล แทนที่จะหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะคิดปรุงแต่งสารพันลองหันมาสงบสติ
             การนอนอย่างมีสติเป็นองค์ประกอบประการสำคัญที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงเป็น “ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน” อยู่ตลอดเวลาอย่างแท้จริง…เชื่อว่าคุณก็ทำได้เช่นกัน

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : winnews.tv และ goodlifeupdate.com

เคล็ดลับการตื่นนอนอย่างสุดชื่นทุกวัน ด้วยกฏ 90 นาที


ผมสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมตัวเองเวลาเผลอตื่นนอนตอนเช้ามืด  
ตี 4 ตี 5 หรือ 6 โมงเช้า มักจะสดชื่น !! :) :) ^_^  ผิดปกติ....

แต่ใจก็ไม่แข็งพอที่จะตื่นเลยทันที (ได้แต่ฝันว่า สักวันจะตื่นมาอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เช้าๆๆ 555555 )........จึงนอนหลับต่อสัก 1-2 ชม. 

แต่พอถึงเวลาตื่นจริง 7:30 น.  ดันนน!! ลุกไม่ขึ้น ซะงั้น ความรู้สึกเหมือน เตียงดูดวิญญาณเลย ในใจคิด....เห้ยย !! นี่ตรูสดชื่นตั้งแต่ ตี 4 ตี 5 แล้วนะ นอนเพิ่มมาอีก 1-2 ชม. ก็น่าจะตื่นสดชื่นกว่าเดิมสิ ??

มันก็เป็นแบบนี้มานาน เป็นแบบนี้มาเรื่อยหลายปีครับ จนวันนี้ (15/9/59) มันก็เป็นอีก ผมเผลอตื่นมา ตี 5 สดชื่นมากๆๆ  เลยอดใจไม่ไว้ เปิด Google หาเลย สุดท้ายก็ได้คำตอบในที่สุด.....ครับ




เคล็ดลับนั้นคือ กฎ 90 นาที ที่ทุกท่านน่าจะนำไปลองใช้ดูและอาจจะช่วยท่านได้ (90 Minutes Sleep Cycle)




ตามงานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับการนอนนั้น มนุษย์เราจะมีวงจรในการนอนหลับอยู่ประมาณ 5 รอบ หรือ 5 Stages ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 รอบที่เป็น non-REM (ช่วงหลับลึก) ตามด้วย 1 รอบที่เป็น REM (ช่วงฝันอยู่) 

โดยที่แต่ละรอบนั้นใช้เวลาโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 90 นาที ในแต่ละรอบนั้นก็จะมีอาการเคลิ้มๆ จนหลับลึก จากนั้นก็จะวนกลับมารอบใหม่ โดยกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหนึ่งคืนนั้นมีรอบวงจรอยู่ 4 หรือ 5 รอบต่อคืน 

หรืออาจจะกล่าวได้ว่า หากเราสามารถนอนหลับโดยธรรมชาติ และไม่มีนาฬิกาปลุกเป็นตัวรบกวนการนอนหลับนั้น 

คนเราควรที่จะสามารถตื่นได้ในทุกๆ รอบ 90 นาทีโดยเฉลี่ย นั่นก็หมายความว่าเราจะสดชื่นทุกครั้งหลังจากตื่น หากเราตื่นช่วงหมดรอบ 90 นาทีนี้พอดี (อย่างนี้นี่เองง!! ที่เราสดชื่นเพราะ ตื่นตอนหมดรอบ 90 นาทีนี้ นี่เอง)

ซึ่งเป็นรอบการตื่นโดยธรรมชาติของร่างกาย หากสงสัยว่า ? เราจะต้องทำยังไงให้เกิดรอบเหล่านี้กับการนอนของเรา และตื่นมาสดชื่นในตอนเช้า เทคนิคง่ายๆ  ที่ใช้ได้คือกำหนดเวลาที่อยากจะตื่น แล้วเราก็นับถอยหลังไปถึงเวลาที่เราควรจะนอน

ยกตัวอย่างเช่น

ถ้าต้องการจะตื่น 7 โมงเช้า เวลาเข้านอนก็อยู่ราวๆ 23:00-23:30 น. 

วิธีนับก็ประมาณนี้  
7am > 5.30am > 4.00am > 2.30am > 1.00am > 11.30pm

ถ้าต้องการตื่น 6 โมงเช้า เวลาเข้านอนก็จะประมาณ 22:00- 22:30 น.

วิธีนับก็ประมาณนี้ 
6am > 4.30am > 3.00am > 1.30am > 12.00am > 10.30pm 

หากไม่เข้าใจวิธีนับ หรือ ขก.นับเหมือนผม ก็สามารถที่จะเข้าไปที่เว็บไซต์  sleeptiming.com ได้เลยยย  สามารถเลือกเวลาที่เราจะตื่นแล้วโปรแกรมจะคำณวณเวลาที่เราควรเข้านอนให้ หรือถ้าอยากรู้ว่า ถ้าเรานอนตอนนี้ เราควรจะตื่นตอนกี่โมง ก็ได้นะ :)  




ขอบพระคุณที่ติดตาม
Au$awinz :)



ขอบคุณแหล่งที่มา: Daily Mail
ขอบคุณภาพจาก : survival-mastery.com , lifehacker.com 

สุดยอด!! นี่คือ 8 สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ฉันนั่งสมาธิทุกวันจนครบ 100 วัน



#ฉันไม่ใช่โยคี ไม่ใช่ผู้เสริมสร้างพลังชีวิต หรือครูสอนโยคะใดๆทั้งสิ้น อันที่จริงไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณเรียกว่าโยคีเลยล่ะ ที่ผ่านมาฉันล้มเหลวมาเยอะ เช่น สอบตก ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ เคยเข้าไปอยู่ในสถานบำบัดยาเสพติด แถมยังเคยถูกจับอีกต่างหาก แต่ในที่สุดฉันก็กลับใจจนได้มาเป็นทนายความและใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า 

ฉันก็อยากให้คนอื่นมีโอกาสที่ดีแบบนี้บ้างเชื่อไหมว่าการนั่งสมาธินำพาสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตของเราทุกคนได้ ไม่นานมานี้ฉันเริ่มเรียนรู้ถึงประโยชน์ของการนั่งสมาธิ แม้ที่ผ่านมาฉันไม่เคยนั่งสมาธิได้นานกว่า 5-10 นาทีเลย แต่มาวันนี้ฉันได้ตัดสินใจ

ลองนั่งสมาธิวันละ 20 นาทีติดต่อกันนานหนึ่งสัปดาห์เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฝึกนั่งสมาธิ

การทดลองนี้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ปี 2015 จากสัปดาห์แรกเป็นเดือน จากเดือนเป็นสามเดือน มารู้ตัวอีกทีก็ครบ 100 วันแล้ว ฉันนั่งสมาธิทุกวันในตอนเช้าโดยไม่มีวันหยุดเลย ตอนแรกที่นั่งสมาธิฉันนั่งอยู่นิ่งๆไม่ได้เลยทั้งปวดหลังและเมื่อยขาสุดๆ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังพยายามปรับวิธีการนั่งมากกว่าที่จะทำสมาธิกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก 

ที่สำคัญฉันต้องฝืนตัวเองไม่ให้ลืมตา แต่ในที่สุดฉันก็ชินกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก และร่างกายของฉันก็เริ่มปรับท่าทางให้เป็นไปตามธรรมชาติ ยิ่งนั่งสมาธินานเท่าไร ฉันก็ยิ่งค้นพบวิธีนั่งสมาธิให้สบายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักการนั่งสมาธิก็กลายเป็นกิจวัตรในยามเช้าที่ขาดไม่ได้และสิ่งดีๆก็เริ่มทยอยเข้ามาในชีวิตของฉัน

นี่คือ 8 สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฉันนั่งสมาธิทุกวันจนครบ 100 วัน

1. ชีวิตมีความเป็นระเบียบ
ยิ่งหัวสมองปลอดโปร่งก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ มีการจัดระเบียบความคิด มีสมาธิกับการทำงานและพร้อมที่จะก้าวสู่งานชิ้นต่อไปได้ง่ายขึ้น ฉันจะตั้งใจทำงานที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดแล้วค่อยทำงานอื่นต่อไป

2. เริ่มรู้จักคิดก่อนพูด
เดิมทีฉันปากไวหรือพูดทันทีที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นมาในหัว แต่ตอนนี้ฉันต้องหยุดคิดก่อนว่าจะพูดอะไรแล้วค่อยตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง การหยุดคิดจะช่วยให้ฉันเรียบเรียงคำพูดได้ชัดเจน และเมื่อพูดออกไปแล้วฉันจะทบทวนว่าสิ่งที่พูดไปนั้นดีพอหรือยัง หรือคราวหน้ายังสามารถทำได้ดีกว่านี้อีกไหม ซึ่งปกติฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

3. สุภาพและรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ฉันกลายเป็นคนขี้รำคาญน้อยลง อดทนมากขึ้น ไม่เบื่อกับการต้องเข้าคิวนานๆ ฉันเริ่มมองสถานการณ์ต่างๆในมุมมองของคนอื่น ด้วยวิธีนี้เองทำให้ฉันสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่กระทำต่อคนอื่นได้อย่างสิ้นเชิง

4. มีพลัง
ฉันสามารถนอนหลับได้สนิทกว่าเดิมและตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นมีพลังพร้อมเริ่มวันใหม่ ขนาดหลังเลิกงานฉันก็ยังมีพลังเหลือเฟือที่จะออกไปวิ่งหรือออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆต่อได้เลย

5. รู้จักเลือกรับประทานอาหารได้ดีขึ้น
ฉันตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่ออยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านอาหาร ฉันมักจะถามตัวเองก่อนเสมอว่าอาหารนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายของฉันมากน้อยแค่ไหน

6. ดูโทรทัศน์น้อยลง
ความปรารถนาในการดูโทรทัศน์ของฉันลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ฉันกลับมีสมาธิกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น เช่น การอ่านหนังสือ การออกกำลังกาย การออกไปพบปะเพื่อนฝูง หรือการทำงานบนเว็บไซต์ของตัวเอง

7. ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น
ฉันเริ่มรู้จักหยุดสังเกตและชื่นชมกับความสวยงามของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือพระอาทิตย์ตกดิน นี่คือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ชัดๆ ฉันจะพยายามดื่มด่ำกับช่วงเวลาเหล่านี้ให้มากที่สุด

8. ดีขึ้นทุกอย่าง
นี่อาจเป็นคุณประโยชน์ที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งของการนั่งสมาธิ ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นใครและสามารถทำอะไรได้บ้าง ฉันกล้าเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น ฉันมีกำลังใจที่จะเป็นตัวของตัวเองและกล้าเสี่ยงเพื่อที่จะเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า ฉันรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญและสามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการได้

และนี่คือการเปลี่ยนแปลงของฉันหลังจากที่เริ่มนั่งสมาธิ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นภายในวันเดียวหรือ 100 วัน แต่ฉันรู้ว่าทุกวันนี้ฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ฉันมีความสุขมากขึ้นเพราะฉันได้เป็นตัวของตัวเองจริงๆ ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่นั่งสมาธิผ่านไปเพียง 100 วัน ฉันก็อยากเห็นว่าอีก 200 วันหรือแม้แต่ 1,000 วันจะเป็นอย่างไร ลองนั่งสมาธิวันละ 20 นาทีติดต่อกันสัก 100 วันดูสิ ฉันมั่นใจว่าคุณจะกลายเป็นคนใหม่อย่างแน่นอน.

ขอบพระคุณแหล่งข้อมูลจาก 

kaijeaw และ winnews.tv

เบิร์นไขมัน ลดความอ้วน ด้วยสารสกัดจากชาเขียวที่มีเทคโนโลยีไฟโตโซม

อ้วนๆๆๆ ใครๆ ก็หาว่าเธอหน่ะอ้วน! หลายคนมีปัญหากับความอ้วนมานาน แต่ทำอย่างไรก็ไม่ชนะมันได้เสียที ทั้งขนม นม เนย ที่เพื่อนๆ แชร์กันเต็ม feed ยิ่งทำให้อดใจไม่ไหว ถึงจะท่องว่าไม่ๆ แต่พอเดินผ่านร้านทีไร ก็อดใจไม่ไหวอยู่ดีและมานั่งรู้สึกผิดหลังจัดการกับขนมคำสุดท้ายทุกครั้งไป
ความอ้วน ศูนย์รวมปัญหาสารพันโรคร้าย
จริงๆ แล้วความอ้วนไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย และเราอยากให้คนอ้วนทุกคนมั่นใจและมีความสุขในตัวเอง แต่สิ่งที่เราเป็นกังวลคือความอ้วนเป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพมากมาย ไล่เรียงตั้งแต่โรคข้อเสื่อม 
อาการปวดเข่า ปวดหลังจากภาวะที่มีน้ำหนักกดทับ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจจากไขมันส่วนเกินบริเวณรอบทรวงอก รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นสาเหตุการเกิดหัวใจขาดเลือดและหัวใจวาย เรียกได้ว่านับไม่ถ้วนเลยทีเดียวกับอันตรายที่มาจากความอ้วน
นายแพทย์สมบูรณ์ รุ่งพรชัย ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ แนะนำว่า คนเราควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดี และการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยากเลยหากลดน้ำหนักได้ถูกวิธี และมีวินัยควบคุมตัวเองได้เพียงพอ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เนื่องจากสาเหตุหลักของความอ้วนมาจากการที่บริโภคแคลอรีเข้าไปมากกว่าปริมาณแคลอรีที่ร่างกายเผาผลาญในแต่ละวัน
สารสกัดจากชาเขียวที่มีเทคโนโลยีไฟโตโซม ผู้ช่วยคนสำคัญของการเบิร์น!
ดร.จีน่า ฮอง นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ (Nutrilite Health Institute) ได้ให้ข้อมูล สำหรับคนที่สนใจควบคุมน้ำหนักว่า ปัจจุบันมีสารสกัดชาเขียวคือโพลีฟีนอลที่ละลายน้ำได้ ซึ่งเรียกว่า “อีจีซีจี” (Epigallocatechin Gallate; EGCG) ปราศจากคาเฟอีนเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระและสัมพันธ์กับการควบคุมน้ำหนัก แต่อีจีซีจีจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางลำไส้ได้ไม่ดีนักเนื่องจากมันจะละลายในน้ำ แต่เทคโนโลยีไฟโตโซมจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้โดยการจับอีจีซีจีเข้าด้วยกันและช่วยให้ผ่านผนังลำไส้ไปได้ ทำให้ร่างกายดูดซึมอีจีซีจีได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการวิจัยทางคลินิกเรื่องการใช้สารสกัดจากชาเขียวที่มีเทคโนโลยีไฟโตโซม ร่วมกับการกินอาหารแคลอรีต่ำเพื่อรักษาโรคอ้วน โดยมีกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม เพื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่กินอาหารแคลอรีต่ำอย่างเดียว และกลุ่มที่ใช้สารสกัดจากชาเขียวที่มีเทคโนโลยี
ไฟโตโซมร่วมกับการกินอาหารแคลอรีต่ำด้วย โดยใช้ระยะเวลาเท่ากันคือ 90 วัน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ใช้สารสกัดจากชาเขียวที่มีเทคโนโลยีไฟโตโซมร่วมกับการกินอาหารแคลอรีต่ำ มีส่วนช่วยให้น้ำหนักลงมากกว่ากลุ่มที่กินอาหารแคลอรีต่ำอย่างเดียว*

มาดูคลิปวีดีโอการเพิ่มการดูดซึมด้วยเทคโนโลยีไฟโตโซมกันครับว่ามันทำงานอย่างไร??







ทุกคนคงจะเห็นแล้วว่าการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีไม่ใช่เรื่องยากเลย และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วสำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารเพื่อร่างกายที่สวยเป๊ะแถมสุขภาพดี แค่ระลึกไว้เสมอว่า ต้องให้แคลอรีที่บริโภคเข้าไปนั้นน้อยกว่าแคลอรีที่ร่างกายเผาผลาญ ซึ่งอัตราการเผาผลาญนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้โดยสารสกัดจากชาเขียวที่มีเทคโนโลยีไฟโตโซม และที่สำคัญ การลดน้ำหนักต้องทำอย่างถูกวิธี ค่อยเป็นค่อยไป และมีวินัย จึงจะเป็นการลดน้ำหนักที่ปลอดภัย ยั่งยืน และไม่โยโย่
หากใครสนใจผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สามารถติดต่อได้ที่ 

นักธุรกิจแอมเวย์ ทุกท่านครับ หรือติดต่อผ่าน

บริษัท แอมเวย์ ประเทศไทย จำกัด โทร: 02-725-8000

ขอบคุณภาพ infor graphicจาก : 
ขอบคุณข้อมูลจาก : Women Sanook